สวัสดีครับคุณโจโฉ
การสวดมนต์ที่เป็นภาษาบาลี บางคนสวดทั้งๆที่ไม่ทราบความหมาย
แต่จิตของเขาเกิดปิติคือความอิ่มในธรรม
เขาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาเปล่งวาจาออกไป เป็นไปเพื่อสรรเสริญพระรัตนตรัย
เขาเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่บทสวดที่เขาภาวนาอยู่อาจจะแปลไม่ออก
ปิติที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจะน้อมจิตเขาให้เกิดความระงับและเป็นสมาธิในที่สุดได้
ผมจึงมีความเชื่อว่า หากสวดมนต์ภาวนาจะรู้ความหมายของบทสวดหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับ
การโน้มจิตให้เกิดปิติจนถึงขึ้นระดับเป็นสมาธิได้ถือว่าบรรลุเป้าหมายของการภาวนาแล้ว
การสวดมนต์ไม่ว่าจะแปลออกหรือไม่ออก เปรียบได้ดั่ง แมวจะสีดำหรือขาว
แต่หากจิตเป็นสมาธิได้เมื่อไร ถือว่าเราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการภาวนา เปรียบได้ดั่งการที่สามารถจับหนูได้ นี่เองครับ
ทางที่จะไปสู่สมาธิมีได้หลายทาง ไม่ว่าจะสวดมนต์ภาวนา เดินจงกรม ฟังธรรมะ...
เราจะเลือกเดินทางไหนก็ได้ เพื่อจะนำจิตเข้าสู่สมาธิ ก็ถึงซึ่งแก่นเหมือนกัน
อานิสงส์ เป็นกุศลกรรม เมื่อจิตเป็นสมาธิ เรากำลังเข้าใกล้ถึงพระพุทธองค์
ในความเห็นของผม การสวดมนต์แม้จะแปลออกหรือไม่ จึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
แต่อยู่ที่ว่าเราจะเปล่งวาจาออกไปอย่างไรแล้วทำให้จิตเราเข้าสู่สมาธิได้ นั่นแหละครับ คืออานิสงส์
วิธีของคุณโจโฉ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน วิธีของผม จะสวดแต่ภาษาบาลีแต่จะโน้มจิต
ให้แปลภาษาไทยโดยรวมไปในตัวระหว่างที่เปล่งบาลีออกไปในประโยคนั้น
ตอนผมฟังพระสวดบางที พระท่านจะมีท่องบาลีนำก่อน และตามด้วยภาษาไทยแปลต่อประโยคบาลีก็มี
ดังนั้นวิธีจึงมีหลากหลาย ดังเช่นทีผมเคยฟังเจอในเสียงอ่านหนังสือในเวปคุณโจโฉว่า
การสำเร็จมรรคผลของพระภิกษุในพุทธกาล บางรูปสำเร็จได้ขณะจิตโน้มลงสู่ธรรมจากพระโอษฐ์
บางรูปสำเร็จได้ขณะเดินจงกลม นั่งวิปัสสนา ภาวนา
บางรูปสำเร็จได้จากการได้ปลงสังเวท หรือบางรูปสำเร็จได้ขณะโน้มตัวลงนอน
วิธีการต่างๆหลากหลาย แต่ปลายทางธรรมทั้งหมดคือความสำเร็จอริยมรรค นั่นเองครับ
ผมมีพุทธพจน์ที่ผมเคยฟังจากเสียงอ่านหนังสือในเวปคุณโจโฉนี้เองครับ
ประโยคที่กินใจผม ผมจะพยายามฟังหลายๆรอบ และจดจำ เพราะบรรยายธรรมได้สวยงดงามเหลือเกิน
เหตุการณ์โดยย่อกล่าวว่า นางจิญจมาณวิกาเป็นสตรีบาป
ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายของเจ้าลัทธิที่มีอคติกับพุทธศาสนาในสมัยนั้น
ได้จ้วงจาบด่าทอใส่ร้ายกล่าวหาว่าตนเองมีครรภ์กับพระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
จนพระอานนท์พุทธอนุชารู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างมาก จนพระพุทธเจ้าได้ตรัสปลอบไปว่า
"ผู้ที่จับคูถ(อุจาระ)ปามณฑลพระจันทร์ย่อมประสบด้วยเหตุเดือดร้อนเองสองประการคือ
มือของเขาย่อมสกปรกเปรอะเปื้อน ติดกลิ่นเหม็น ประการหนึ่ง
และอีกประการหนึ่งคือจิตของเขาย่อมเศร้าหมองเมื่อคูถที่เขาปาไปนั้น...
ไม่สามารถทำให้มณฑลของพระจันทร์แปดเปื้อนมัวหมองลงไปได้
แต่กลับตกลงมาเปรอะเปื้อนสู่ศีรษะและอวัยวะต่างๆของผู้ปาเสียเอง
คนที่เกิดมาแล้วมีขวานติดปากมาด้วยสำหรับจะไว้พูดจาเชือดเฉือนฟาดฟัน
ติเตียนคนที่ควรสรรเสริญหรือสรรเสริญคนที่ควรติเตียน
ผู้นั่นเชื่อว่าแส่หาโทษใส่ตัวเพราะปาก เขาย่อมหาความสุขไม่ได้เพราะโทษนั้น"
พุทธพจน์นี้คงให้แง่คิดแก่คนได้หลายๆคนนะครับ
คุณโจโฉร่วมอนุโมทนากับความดีรายวันของผม ผมสาธุ...ด้วยนะครับ