http://www.jozho.net
   
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 19/11/2007
ปรับปรุง 05/02/2023
สถิติผู้เข้าชม14,605,268
Page Views22,693,008
Menu
หน้าแรก
งานบรรยายโดยโจโฉ
เกี่ยวกับ&ที่มา..โจโฉ
ตัวอย่างภาพกิจกรรม
รวมเสียงโจโฉ
สนับสนุนโจโฉ
บทความโดยโจโฉ
ติดต่อโจโฉ
เลือกดาวน์โหลด
แนะนำ
มาใหม่ล่าสุด
บอกเล่าเก้าสิบ
สวดมนต์ สมาธิ
Video ธรรม
ข่าวร้อน
.
 

คุณดังตฤณเขียนถึงกรณีหลวงพ่อปราโมทย์ ครั้งที่ 2 (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

(อ่าน 3922/ ตอบ 20)

เว็บมาสเตอร์

ต่อฉบับที่สอง..


จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัวไลท์


http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=271:2010-01-27-14-16-40&catid=34&Itemid=1













ฉบับที่ ๑๘ กรณีหลวงพ่อปราโมทย์









ขอคุยต่ออีกฉบับหนึ่งนะครับ

เกี่ยวกับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์

เพราะกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้างขณะนี้

และเช่นเคยครับ ขอเขียนในลักษณะถามตอบเป็นประเด็นๆ

เนื่องจากเนื้อหามีความยืดยาว

หากไม่แจกแจงตามข้อสงสัยในใจ

ก็อาจต้องอ่านต่อเนื่องแบบหลงประเด็นได้


ถาม  สไตล์ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน

จัดเป็นการสอนในแบบของพุทธหรือไม่?


ตอบ  หลายคนกล่าวว่าการทักจิต ดักจิตของหลวงพ่อปราโมทย์

เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่าน

และไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ

เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน


ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่า

ท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติ

เอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน

เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆตรงๆ

บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่

หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย

วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู

วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน

ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่าน

แล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญา


ที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนัก

สอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ

คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม

เว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา


สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญ

นั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ

แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้

ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทาง

และที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียด

ก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก

การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น

กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป

ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวัน

ตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาที

ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน


แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน

ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้

เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่น

ก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน

เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก

เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชน

เป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน

ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน


ย้อนมาถึงตัวข้อสงสัยที่ว่า "นี่เป็นพุทธหรือเปล่า?"

ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณ

เกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์

แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน

บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว


พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร

พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี

พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน

เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัย

ที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย

บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย

อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี

เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป

พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น

จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที


ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร

พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู"

ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอน

ภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง

โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น

จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้

จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน

จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น

ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น


สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้

พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน

และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย

ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่

เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่าน

จะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้

แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่

และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียว

ลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน

แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์

ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่าย

ทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมาย

จึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนา

กระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน

ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ


ถาม  ถ้าแนวที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นพุทธที่ถูกต้อง

เหตุใดช่วงหลังจึงมีการประโคมข่าวว่าผิด

แล้วก็ได้ยินว่าพระมีชื่อเสียงเริ่มออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย?


ตอบ  กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบจะสึกพระให้ได้นั้น

หลายคนเคยอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์มาก่อน

นอกจากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องจากมา

ก็ควรตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่าทำไมเพิ่งมาเอาผิดกับท่าน

ทั้งที่เคยขอให้ท่านช่วยเหลือในแบบเดียวกัน

กับทั้งพระมีชื่อเสียงที่เพิ่งได้ยินกันว่ามามีส่วนร่วม

ก็เคยนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ในสถานที่ของท่านมาก่อนด้วย


หลายกรณีนะครับ คำถามมีความสำคัญกว่าคำตอบ

เพราะจนตายเราอาจไม่รู้คำตอบที่แท้จริง

แต่ถ้าตั้งคำถามถูก เราอาจได้ข้อสังเกตที่ทำให้ตาสว่างเดี๋ยวนี้เลย


ถ้าผิดจริง ทำไมจึงเป็นคุณมากกว่าโทษ?


สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำไม่ใช่ขายญาณวิเศษ

ไม่ใช่การขายความถูกต้องแม่นยำแบบหมอดู

แต่เป็นการสอนเจริญสติ ตามแนววิธีที่ท่านถนัด

ถ้าหากเห็นว่าผิด ไม่ดี ไม่ถูก

แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?


คำตอบในใจของผม ซึ่งไม่ใช่คำตอบอันเป็นที่สุด

อาจมีความผิดพลาดได้ประสามนุษย์ธรรมดาเดินดิน

คือ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องของมุมมองว่าถูกเซ็ตไว้อย่างไร

เมื่อเซ็ตไว้ให้เล็งเห็นประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมใจเห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม

แต่วันหนึ่งเมื่อถูกชี้นำจากบุคคลที่น่าเชื่อถือบางท่าน

ให้เล็งเข้าไปเห็นโทษจากการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์

เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผล

สอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควร

สอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง

สอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ

หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป


โลกตั้งอยู่อย่างนี้

ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร

ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆ


แล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่า

เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วม

ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี

เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดี

ย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ"

หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียน


ที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา

ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ

อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ

จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา

เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอน

ว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี

ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรง

เวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์

จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ

เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ

ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว

แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้

ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน"


ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ

แค่อยากเจออะไรเย็นๆ

แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่

แต่นี่ได้เกินคาด

ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย

โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียว


เกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ

การประโคมกล่าวโทษท่านเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม

จึงสร้างแนวร่วมไม่สำเร็จ

และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนาน

ว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย


สรุปคือถ้ากลุ่มโจมตีท่านจะเอาโทษผิดปาราชิก

ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรม

ก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัว

จะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอน

มาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู

เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่ง

มันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆ

นอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญ

คือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมด

ไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ

ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง

ดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่


ถาม  บางฝ่ายเรียกร้องให้ชาวบ้านสงบปากสงบคำ

แล้วปล่อยให้พระเคลียร์กันเองจะดีกว่าไหม?


ตอบ  ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์

ข้อวินัยจำนวนมากเกิดขึ้นโดยฆราวาส

คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตา

ไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า

ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ

พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมา

อาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง

ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ

เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา

และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔

เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา

กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย

อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี

ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม


การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์

จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง

จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง

มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง

หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้

กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้


แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้

เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจน

หลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด

ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมา

จะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์


แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียว

แล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน

ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้ง

อ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรม

เพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้

นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย


ถาม  อย่างไรก็เห็นค้าน

ไม่อาจมองว่าหลวงพ่อปราโมทย์สร้างชื่อให้ครูบาอาจารย์

เพราะท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ให้คำรับรองท่าน


ตอบ  เรื่องที่ว่าครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์

ได้ให้คำนิยมไว้อย่างไร เป็นเรื่องรู้เฉพาะท่านกับครูบาอาจารย์

ตลอดจนคนที่อยู่พร้อมหน้ากันในขณะนั้นๆ

เรารู้เฉพาะที่ว่าคนยุคนี้สมัยนี้ รู้จักใครแล้วได้อะไรบ้าง


บท บ.ก. ฉบับก่อนผมไม่ได้อยากช่วยอวดอ้างว่าท่านสร้างชื่อให้อาจารย์

แต่เนื่องจากเป็นข้อหาใหญ่

คือการกล่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์วางแผนขึ้นมามีอำนาจ

ด้วยวิธีแอบอ้างชื่อเสียงของพระป่าต่างๆ

ผมจึงอาศัยมุมมองลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายคนที่เห็นค้าน

เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้จักหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมาก่อนเลย

คนส่วนใหญ่รู้จักแต่หลวงตามหาบัวผ่านข่าวบริจาคทองบ้าง ข่าวคุณทองก้อนบ้าง

(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)


แต่พอคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มกระจายไป

ครูบาอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อปราโมทย์อ้างถึง

ก็กลายเป็นที่รู้จัก มีคนไปกราบไหว้ขอรับฟังเทศนา

หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่มีคนคิดปรามาสกัน

พอมาศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์แล้วท่านปราม

ชี้แจงและแยกแยะอะไรๆให้เข้าใจ

คนเหล่านั้นก็พากันไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรมจากท่าน


เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเก็บตัวมาก

ไม่ออกกว้าง เลือกสอนเฉพาะคน

การที่ท่านจะเป็นที่รู้จักและจดจำสำหรับคนรุ่นหลัง

ก็ต้องอาศัยหมู่ศิษย์ที่มีเครดิตประจำยุคสมัย

ขอให้คำนึงว่าหลวงปู่ดูลย์กลายเป็นที่เคารพศรัทธาทันที

เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์แจกแจงพระคุณของท่านให้สานุศิษย์ทราบ


ในทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นที่รู้จัก

หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ

ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใส

เขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น

บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทน


สรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน

และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์

เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำ

ไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน

กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา

แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกัน

จะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ

ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน

เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย

รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย

บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์

ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่

และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่

จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง


ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า

เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด

ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง

อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา

เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น

เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่


ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆก็จะอัพเดทให้ทราบนะครับ

แต่ฉบับหน้าคงเขียนเรื่องอื่นแล้ว

ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับ

ก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้

มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ

ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม


ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น

ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้

จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?


ดังตฤณ

มกราคม ๕๓


 


 


สุปราณี

เวลาเข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นรคนดีมาก ดีกว่าคนอื่น คนอื่นไม่ดีเท่าเรา เคยมีไหมคนบอกคุณว่าคุณกำลังมีอัตตา มันเป็นการยึดความดีที่แรงมาก จี๊ดมากโดนเต็มๆ แล้วลองสำรวจตัวเองก็ต้องยอมรับพันเปอร์เซนต์ว่าเป็นอย่างนั้น ชั่วและดีก็อย่ายึดเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ถ้าใครก็ตามเป็นนักปฏิบัติจริงๆ จะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเดินล้มลุกคลุกคลานแต่ก็ไม่ท้อ อาจารย์คนไหนสอนแล้วเรารู้สึกว่าดีตรงไหนก็เก็บเกี่ยวมา ดิฉันก็เป็นลูกศิษย์หลายอาจารย์ เก็บมาท่านละนิดละหน่อยให้เหมาะกับตัวเอง เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วนะคะสำหรับนักปฏบัติ

สุปราณี

ดิฉันฟังซีดีของท่านมาเกือบสองปีค่ะ เริ่มปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ทุกอย่างที่หลวงพ่อสอนเป็นมาหมดทั้งเพ่ง,กด,บีบ และทำทุกอย่างให้เป็นสมาธิจนสมองเบลอไปหมด ทุกครั้งที่มีพักร้อนจะเข้าวัดปฏิบัติตลอดทั้งที่รู้ว่าไม่ค่อยพัฒนาแต่ก็ไม่ท้อ จนกระทั่งมาเจอเสียงของท่านทางเนต ตอนแรกก็คิดว่าแปลกมาก ทำไมสอนแบบนี้ ฟังไปฟังมาก็เลยลองทำตามที่ท่านแนะ ปัจจุบันอายุ 30 ปีเพิ่งรู้ว่าสมาธิที่มีความสุขเป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่หมดกับการเพ่งง่ายเพราะเพ่งมานานเหลือเกิน คิดเสียดายวันเวลาแต่คิดอีกทีถ้าเราไม่อยู่ในเส้นทางก็คงไม่เจอท่าน อีกคำหนึ่งที่โดนมากคือ

ลืมตาเมื่อวาน


ลืมตาตื่นกันสักทีเถอะครับ ข้อเท็จจริงมาวางตรงหน้าแล้ว ลืมตาดูก็มองเห็น

เรื่องสอนแนวทางการปฏิบัตินี้ หากได้ผู้นำทางที่ไมรู้จริง มีแต่จะพาเข้าป่าเข้าดงกันเท่านั้น ต่อให้ฟังหลักการแล้วดูดีแค่ใหนก็ตาม

เรื่องปฏิบัติตามขั้นตอนแล้วมีความสุขขึ้น ไม่ได้แปลว่าถูกทางเสมอไป ,How toของฝรั่งทำได้เยอะแยะ นี่ยิ่งผสมหลักการของพระบรมศาสดาเข้าไป

ท่านจะบรรลุได้ขั้นใหน จะพิสูจน์คงยาก ส่วนเรื่องทรัพย์สินหรือที่พัก ก็คงพอหยวนๆกันได้ บกพร่องโดยสุจริต เอ้านี่เข้าข้างเต็มที่แล้วนะ

แต่ที่แน่ๆครูบาอาจารย์ที่ผมกราบกรานด้วยเศียรเกล้า ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดทักวาระจิตผู้อื่นเผยแผ่สู่สาธารณะในวงกว้างเช่นนี้ ซึ่งถ้ากล่าวตามตรง ข้อนี้เป็นอาบัติแน่นอน

หากจะเข้าข้างกันต่อ ก็โอ ท่านช่างมีเมตตา ยอมอาบัติเพื่อมวลชน แต่ครูบาอาจารย์ในอดีต ไม่มีใครกระทำสิ่งที่ล่อแหลมอย่างนี้หรอกครับ  

จุ๊บแจง

เมื่อได้ยินข่าวก็รู้สึกว่าการที่ผู้มีชื่อเสียงบางคนออกมาเรียกร้องสมบัติตัวเองคืน เพราะหลงผิดที่บริจาค ก็นึกขำถึงกิเลสที่พอกหนาจนลืมจุดยืนเดิมของตน
การบริจาคเพื่อละ มิใช่เพื่อว่าจะได้อะไร หรือมีชื่อประกาศตัวหนาว่าตนทำดี ช่างหน้าขำ กับหนังสือขายดีที่เขียนไว้อย่างงาม ที่จริงถ้าหลวงพ่อทำผิดผลกรรมก็จะ
ทำให้ท่านมีทุกข์ แต่ถ้าท่านไม่ผิด ผู้กล่าวหาท่านย่อมได้รับผลกรรมนั้นอย่างหนัก ทั้งตัวเอง และครอบครัวขอให้ตระหนักการกระทำให้ดี เพราะกฏแห่งกรรมมีจริง
และน่ากลัวเมื่อส่งผล

เบื่อ

ธรรมะไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหลแกครับกิเลศยังอยู่เหมือนเดิมนั่นล่ะ
ผมไม่เชือแนวทางนี้เลยเพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเอง
จนมีพระผู้ใหญ่ออกมารองรับว่ามันผิด จึงมั่นใจ
เลิกเถอะครับ..

aonlin

ไม่ได้แวะมาเวบนี้เสียนาน กะจะกลับมาโหลดไฟล์เสียงของหลวงพ่อปราโมทย์เพราะช่วงนี้ห่างๆการปฎิบัติไปและรู้สึกว่า


ตอนที่เราฟังไปปฎิบัติตามเสียงหลวงพ่อปราโมทย์ไปแม้เพียงระยะที่ฟังเสียง จิตก็เกิดความสว่างขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้ขึ้น


ในวงการพุทธศาสนา แอบเสียดายว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้คนอีกมากที่ควรได้ฟังธรรมดีๆได้พลาดโอกาสนี้ไป


ยังนับถือและเคารพหลวงพ่อเหมือนเดิมค่ะ _/\_

แอนตี้พระสงบ

พระเเท้ก็คือพระเเท้ แม้จะถูกกระหน่ำจากอริยูปวาโทมากน้อยแค่ไหนก็เปลี่ยนแปลงความจริงมิได้


สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าถูกล่าวหาแอบอ้างต่างๆนานา แต่ด้วยความดีของท่าน ก็ดำรงความเป็นพุทธะจนทุกวันนี้


จะเเยเเสอะไรกับพวกที่กล่าวหา บรรลุอรหันต์แล้วรึ ถึงรู้ใครถูกใครผิด ตังเองก็ยังเอาไม่รอด กำพืดตัวเองเน่าเฟะยังไง


กลัวชาวบ้านชาวเมืองไม่รู้ เลยเอาชีวิตตัวเองมาถ่ายทอดผ่านพระที่ดีที่สุดองค์หนึ่ง มันควรค่าเเก่การให้อภัยด้วยหรือ


มิช้านานคงถูกธรณีสูบ ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแบบพระเทวทัต นางจิญจมาญวิกา นั่นเอง

สุภาณี พิมพ์ศรี

เห็นด้วยกับคุณแจ่มใสค่ะ ดิฉันก็เป็นอีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสรู้ถึงคุณงามความดีของหลวงปู่ดูลย์ ก็เพราะฟัง ซีดี ของพระอาจารย์ปราโมทย์ 


และที่สำคัญมากคือหลังจากฟังซีด๊ของพระอาจารย์แล้ว ทุกข์ทางใจน้อยลง ปีปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้นค่ะ


สุภาณี

หนึ่ง

ยังนับถือหลวงพ่อเหมือนเดิมครับ เพราะที่ได้ทราบข่าวจากพวกไม่หวังดี และผมก็ลองย้อนกลับมาฟังซีดีของหลวงพ่อ


ก็ไม่เห็นมีประโยคไหน ที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์คิดล้างครูเลย ทุกวันนี้การเจริญสติ การรู้สึกตัวหลังจากฟังซีดีหลวงพ่อ


ทำให้วันๆนึง มีคุณค่ามากครับ ดีกว่าหลงลืมตัวไปวันๆ ไม่ได้อะไรเลย

หนึ่ง

ผมยังศรัทธาในตัวหลวงพ่อปราโมทย์ อยู่เสมอครับ ขอให้บุญบารมีของพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในจักรวาลนี้ โปรดช่วยให้หลวงพ่อพ้นจากอุปสรรคทั้งหลายด้วยเถิด เพื่อที่จะได้ใช้เวลาเผยแผ่ธรรมะต่อไปครับ เวลาคนเราเหลือไม่มากแล้วนะคับ

Mhacom

ย้อนจากนี้ไปประมาณ2ปี ผมถือธรรมะแบบถือของหนักๆ แต่ซีดีของหลวงพ่อทำให้ผมมีชีวิตร่วมกับธรรมะมีความสุขเหมือนคนกินข้าวอิ่ม มีความสุขทุกครั้งที่ไม่ไหลตามกิเลสไปไกลเหมือนแต่ก่อน รู้สึกว่าไม่ผิดทาง จุดระบุทางปรากฏเป็นระยะๆอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ประมาณว่าไม่ได้รู้สึกว่าเดินวนอยู่ในวงกลม  เบาใจมากขึ้น-บ่อยขึ้น

Kade

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ


คุณเป็นชาวพุทธที่แท้คนหนึ่ง ที่มีความกล้าหาญในการรักษาความดีของครูอาจารย์

joe

หลวงพ่ออุปปัชฌาย์ของผมเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ ครั้งหนึ่งผมกลับบ้านแล้วเข้าไปกราบท่านที่วัด วันนั้นไม่มีลูกศิษย์ลูกหาคนอื่น ๆมารบกวน เลยขอโอกาสท่าน สอบถามข้อปัญหาอย่างที่เคยปฏิบัติตามที่ได้ฟัง cd ของหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเมตตาให้ความกระจ่างชัดเดิดปิติอย่างแรงกล้าในฉับพลัน เลยขอโอกาสท่านอีกครั้งถามท่านว่า คามแนวทางหลวงพ่อปราโมทย์สอนอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตอบสั้น ๆว่า "ดี ปราโมทย์เขาสอนดี"

มายา

ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามธรรมะจากซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์มาประมาณปีกว่า ๆ ได้รู้จักหลวงปู่ดุลย์-หลวงปู่สิม-พระอาจารย์บุญจัน-หลวงตาประสิทธิ์ และวัดต่าง ๆ จากซีดีของหลวงพ่อ จึงขอเป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกับคุณดังตฤณว่า หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้อาศัยครูบาอาจารย์หากินและสร้างชื่อเสียงอย่างแน่นอนค่ะ

แจ่มใส

ขออนุโมทนาค่ะ
พุทธศาสนิกชนที่ดี ต้องมีความกล้าหาญในการรักษา ความดีและคนดี


ดิฉันก็เป็นพยานบุคคลหนึ่ง ที่ได้รู้จักและเคารพนับถือ หลวงปู่ดุลย์
ก็เพราะคำอธิบายและการกล่าวถึงที่แสดงความเคารพครูบาอาจารย์
ของพระอาจารย์ปราโมทย์

แจ่มใส

Page : 1
Lock Reply
 
 หน้าแรก  รวมเสียงโจโฉ  บทความ  ภาพกิจกรรม  สนับสนุนโจโฉ  ติดต่อ
view